ให้ธรรมชาติดูแลสุขภาพ : ธรรมชาติบำบัด

เชื่อไหมว่า ร่างกายนี้คือสิ่งมหัศจรรย์ มีความสามารถที่จะเยียวยารักษาความเจ็บป่วยได้ด้วยตนเอง

ธรรมชาติบำบัด (Nature Cure)  หรือ  การรักษาตามธรรมชาติ (Naturopathy)  คือการรักษาความเจ็บป่วย  ด้วยวิธีให้ร่างกายรักษาตนเอง  ผ่านกระบวนการพื้นฐานธรรมดา ๆ ของการดำรงชีวิต  ทั้ง  การกินอาหาร  การหายใจ  การใช้น้ำ  และการเคลื่อนไหวที่ถูกต้อง

โรคภัยไข้เจ็บส่วนใหญ่เกิดจากพฤติกรรมที่ผิดปกติของเจ้าของร่างกายนั้น เช่น กินอาหารที่เป็นโทษต่อร่างกายตนเอง ใช้ร่างกายให้ทำงานมากเกินไป ทั้งเนื่องจากทัศนะที่ผิดในการดำรงชีวิต และชีวิตที่เลือกไม่ได้

อาการเจ็บป่วยคือคำเตือนจากร่างกาย  บอกให้เจ้าของร่างกายนั้นได้รู้ว่า  เธอกำลังทำสิ่งผิด ๆ ให้กับฉัน  เธอทำให้ฉันเสียสมดุล  ถ้ามากกว่านี้  หรือยังไม่ฟังฉัน  ฉันก็จะไม่อยู่กับเธอแล้วนะ

ท่านเจ้าคุณนร (พระภิกษุพระยานรรัตน์ราชมานิต)  เคยกล่าวไว้ว่า  จงอย่าฝากชีวิตไว้กับหมอและยา  เพราะหมอก็ไม่ใช่เทวดา  หรือผู้สัพพัญญู  และยาก็ย่อมจะมีทั้งคุณและโทษ  ควรพึ่งตนเองด้วยโยนิโสมนสิการ  ก่อนที่จะคิดพึ่งหมอและยาเถิด

หากต้องการรักษาปัญหาสุขภาพ   ก็จงเปลี่ยนทัศนคติเกี่ยวกับยาและร่างกายตนเองเสีย

ไม่มียาตัวไหนให้สุขภาพที่ดีแก่เราได้  ไม่มีหมอคนไหนรักษาอาการเจ็บป่วยได้จริง  ไม่มีหนทางลัดสู่การมีสุขภาพดี  มีแต่การปฏิบัติและดูแลตนเองอย่างถูกต้องเท่านั้น  ร่างกายจึงจะปลอดภัยจากโรคร้าย

โรคเรื้อรังทั้งหลาย  อาทิเช่น  ความดันโลหิตสูง  เบาหวาน  โรคหัวใจ  โรคไต  โรคตับ  รวมถึงมะเร็ง  และอาการเจ็บป่วยร้ายแรงอื่น ๆ อีกจำนวนมาก  แพทย์แผนปัจจุบันยอมรับว่ารักษาไม่หาย  ได้แต่ประคับประคอง  ระงับอาการเป็นคราว ๆ และเพิ่มยาขึ้นเรื่อย ๆ หรือกระทั่งต้องตัดอวัยวะส่วนนั้นทิ้ง

แต่ถ้าเรามองเรื่องนี้จากมุมธรรมชาติของร่างกาย เราจะเห็นว่าโรคเหล่านี้เกิดจากการสะสมพิษในร่างกายเป็นเวลายาวนานทั้งจากยา และอาหารที่เป็นโทษ  กลับสามารถรักษาได้ถ้าหันกลับมาดำเนินชีวิตที่ถูกต้อง  สร้างเงื่อนไขที่ดี ให้ร่างกายได้ดูแลรักษาตนเองอย่างเต็มที่  นำสิ่งต่าง ๆ ที่มีอยู่แล้วในธรรมชาติรอบตัวมาเป็นเครื่องมือในการเยียวยา

เชื่อหรือไม่ ไม่เป็นไร ทดลองดูสักครั้งหรือหลายๆครั้ง เมื่อมีสัญญาณเตือนจากร่างกาย  หรือเกิดเจ็บป่วยเล็กๆน้อยๆ เช่นท้องเสีย ปวดศีรษะ

    1. ไม่ไปหาหมอ
    2. ไม่กินอาหาร  เพื่อให้ร่างกายได้ทำงานซ่อมแซมเต็มที่  ไม่ต้องห่วงคอยมาย่อยอาหารอยู่
    3. ไม่กินยา
    4. ไม่ทำงาน  ต้องพักผ่อนอย่างเต็มที่
    5. ไม่คิดว่าคือความเจ็บป่วย  ให้คิดว่าร่างกายกำลังขับพิษร้ายออก
    6. ไม่หวาดกลัว  จงเชื่อมั่นในความสามารถของร่างกายตนเอง  และรอคอยกระบวนการต่าง ๆ ของร่างกายอย่างใจเย็นและเข้าใจ
    7. สามารถกินน้ำมะพร้าวได้ในบางกรณี  

 

โดยปกติร่างกายคนเราจะขับถ่ายของเสียหรือพิษออกจากร่างกาย 4 ช่องทาง

    1. ลมหายใจออก
    2. เหงื่อ
    3. ปัสสาวะ
    4. อุจจาระ
    5. (รอบเดือน)

ต้องไม่ขัดขวางกระบวนการเหล่านี้  ปล่อยให้ร่างกายขับออกมาให้เต็มที่  ฝึกหัดการหายใจเข้าออกยาว ๆ ลึก ๆ ให้หายใจออกมากกว่าหายใจเข้า 1 เท่า  อย่ารีบเข้าห้องแอร์เมื่อเหงื่อออก  อย่ากลั้นปัสสาวะและอุจจาระ  ปล่อยให้ธรรมชาติของร่างกายจัดการตัวเอง

แต่ในสถานการณ์วิกฤติ  ร่างกายจะมีช่องทางพิเศษในการขับพิษ  ดังนี้

    1. เป็นหวัด  ไอ  จาม  น้ำมูกไหล
    2. อาเจียน
    3. ท้องเสีย
    4. เป็นไข้

นี่คือคำร้องของร่างกาย  จงฟังร่างกายตนเองและปฏิบัติตัวให้ถูกต้อง 

กระบวนการบำบัดโดยธรรมชาติ มีอยู่ 3 ขั้นตอน

    1. ชำระล้าง
    2. เยียวยา
    3. ฟื้นฟู

อาหารคือสิ่งที่ต้องสนใจเป็นพิเศษ   ทั้งนี้เพราะอาหารมีคุณลักษณะ 4 ประการ  คือ  ชำระล้าง  เยียวยา  ฟื้นฟู  และก่อให้เกิดพิษ  

น้ำผลไม้  น้ำผักคั้น  น้ำเปล่า  มีคุณสมบัติชำระล้างและเยียวยา  ผลไม้มีคุณสมบัติในการฟื้นฟูและชำระล้าง  ส่วนอาหารปรุงสุกนั้นมีคุณค่าทางด้านฟื้นฟูให้พลังงาน  แต่ก็ก่อให้เกิดพิษได้ด้วย

น้ำมะพร้าวถือเป็นน้ำจากสรวงสวรรค์  อุดมไปด้วยแร่ธาตุ  สะอาดและบริสุทธิ์กว่าน้ำใด ๆ ทารกสามารถดื่มแทนน้ำนมเมื่อมารดาเสียชีวิตได้  มีคุณสมบัติที่ดีครบถ้วนทั้งชำระล้าง  เยียวยา  และฟื้นฟูร่างกาย   น้ำมะพร้าว 1 ลูก  มีคุณค่าเท่าอาหาร 1 มื้อ  ทั้งร่างกายไม่ต้องเหน็ดเหนื่อยไปย่อยให้เสียพลังงานด้วย  จึงนับเป็นอาหารที่ดีที่สุดของร่างกาย

ในสภาพปกติ  แนะนำให้กินผลไม้ 2 มื้อ  เช้ากับเย็น  มื้อกลางวันกินอาหารปรุงสุก  เป็นหลัก  กินแต่อาหารใหม่สดที่ เต็มไปด้วยพลังชีวิต  ทั้งนี้มีกฎเหล็กหลายข้อในการกินดังนี้

  1. ไม่กินอาหารก่อน 6 โมงเช้า  และหลัง 6 โมงเย็น  เพราะร่างกายกำลังพักผ่อนไม่พร้อมที่จะรับอาหาร
  2. ไม่กินอาหารปรุงสุกนานกว่า 3 ชั่วโมง  ถ้าเป็นผลไม้ปอกเปลือกไม่เกิน 30 นาที  น้ำผลไม้ต้องดื่มทันที  เนื่องจากเราต้องการพลังชีวิตจากอาหาร
  3. ไม่กินจนอิ่ม  ให้กินเพียง 1 ใน 3 ของกระเพาะอาหาร  ปล่อยเนื้อที่ว่างให้กระเพาะเคลื่อนไหวทำงานได้สะดวก 
  4. ไม่ดื่มชา  กาแฟ  น้ำอัดลม  อาหารหมักดอง  ธัญญพืชขัดขาว  น้ำตาลทรายขาว  ผงชูรส  อาหารทอด  เนื้อสัตว์  นม  ไข่  ซึ่งถือเป็นอาหารพิษ
  5. มีสมาธิเวลากิน  ตั้งใจกินและเคี้ยวจนกระทั่งอาหารเป็นน้ำสามารถดื่มได้  ช่วยให้กระเพาะไม่ต้องทำงานหนักมากเกินไป
  6. ห้ามกินอาหารที่ผสมกันหลากหลายในแต่ละมื้อ  ผักควรกินกับธัญญพืช  ถ้ากินผลไม้ก็ต้องเป็นผลไม้รสเดียวกัน  เพื่อถนอมกระเพาะอาหารและน้ำย่อย
  7. กินอาหารเพียง 3 มื้อต่อวัน  อาจดื่มน้ำผลไม้ระหว่างมื้อได้ 2 ครั้ง  แต่ห้ามกินอาหารระหว่างมื้อ  ปล่อยให้กระบวนการย่อยอาหารทำงานเต็มประสิทธิภาพโดยไม่มีการรบกวน

อ้างอิงรูปภาพ : 

https://www.freepik.com/

Categories

บทความล่าสุด

Tags

เราใช้คุกกี้เพื่อพัฒนาประสิทธิภาพ และประสบการณ์ที่ดีในการใช้เว็บไซต์ของคุณ คุณสามารถศึกษารายละเอียดได้ที่ นโยบายความเป็นส่วนตัว และสามารถจัดการความเป็นส่วนตัวเองได้ของคุณได้เองโดยคลิกที่ ตั้งค่า

ตั้งค่าความเป็นส่วนตัว

คุณสามารถเลือกการตั้งค่าคุกกี้โดยเปิด/ปิด คุกกี้ในแต่ละประเภทได้ตามความต้องการ ยกเว้น คุกกี้ที่จำเป็น

ยอมรับทั้งหมด
จัดการความเป็นส่วนตัว
  • เปิดใช้งานตลอด

บันทึกการตั้งค่า